การใช้เทคโนโลยีทางไซเบอร์ในสงครามอิหร่าน

Iran war 2025

ในยุคที่สงครามไม่ได้จำกัดอยู่แค่สนามรบทางกายภาพ การใช้เทคโนโลยีทางไซเบอร์ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในยุทธศาสตร์ของรัฐมหาอำนาจทั่วโลก สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลในช่วงกลางปี 2025 แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างสงครามทางอากาศ จรวด และไซเบอร์เข้าด้วยกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนและหลังการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งมีการระบุว่าปฏิบัติการไซเบอร์เป็นตัวเปิดทางและสนับสนุนการโจมตีทางกายภาพอย่างมีประสิทธิภาพ


บทบาทของเทคโนโลยีไซเบอร์ในสงครามครั้งนี้

ข้อมูลจากหลายแหล่งข่าวระบุว่า ก่อนการโจมตีเป้าหมายหลักในอิหร่าน เช่น ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ (Fordow) และเนทันซ์ (Natanz) หน่วยข่าวกรองของอิสราเอลและพันธมิตรดำเนินการเจาะระบบควบคุมการป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่าน ซึ่งคาดว่าใช้เทคนิค “Zero-Day Exploits” และการแฮ็กผ่านพนักงานภายใน (Insider Threat) เพื่อปิดการทำงานของเรดาร์และระบบสกัดขีปนาวุธชั่วคราว เป็นการ "ทำให้เป้าหมายมองไม่เห็น" ต่อการโจมตีทางอากาศ

ในขณะเดียวกัน ฝ่ายอิหร่านเองก็ตอบโต้ด้วยปฏิบัติการไซเบอร์ระดับสูง โดยมีการโจมตีเว็บไซต์รัฐบาลอิสราเอลหลายแห่ง รวมถึงระบบจัดการสถานีไฟฟ้าและระบบขนส่งในเทลอาวีฟ ทำให้เกิดการหยุดชะงักชั่วคราว และเผยให้เห็นว่าอิหร่านเองก็มีศักยภาพด้านไซเบอร์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษที่ผ่านมา


การประสานงานของไซเบอร์กับสงครามจรวดและโดรน

หนึ่งในจุดเด่นของสงครามนี้คือการใช้ไซเบอร์เป็นเครื่องมือ "เปิดทาง" ให้กับการโจมตีทางอากาศหรือจรวด โดยข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองระบุว่าก่อนที่อิสราเอลจะใช้โดรนล่องหนเข้าโจมตีฐานปล่อยขีปนาวุธในอิหร่าน มีการรบกวนระบบ GPS และระบบควบคุมโดรนอัตโนมัติในพื้นที่ ซึ่งทำให้ฝ่ายอิหร่านไม่สามารถสั่งการตอบโต้ได้อย่างแม่นยำ

ในอีกด้านหนึ่ง มีรายงานว่าอิหร่านพยายามแทรกแซงระบบสื่อสารทหารของอิสราเอลและสหรัฐฯ ในอ่าวเปอร์เซีย ผ่านการแพร่มัลแวร์ที่ซ่อนอยู่ในอุปกรณ์ IoT ทางการทหาร โดยอาศัยช่องโหว่ของระบบดาวเทียมเชิงพาณิชย์ที่ถูกใช้ร่วมกับการควบคุมโดรน ซึ่งแม้จะยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด แต่สะท้อนถึงความซับซ้อนและอันตรายของ "สนามรบไซเบอร์"


Cyber war

แนวโน้มในอนาคตของสงครามไซเบอร์

จากประสบการณ์ของสงครามอิหร่านในปี 2025 แนวโน้มสำคัญที่ควรจับตา ได้แก่:

1. การใช้ AI และ Machine Learning ในสงครามไซเบอร์
ทั้งสองฝ่ายต่างพัฒนา AI เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมเป้าหมาย ตรวจจับกิจกรรมต้องสงสัยแบบ real-time และดำเนินการตอบโต้อัตโนมัติ ตัวอย่างที่น่าสนใจคือระบบ "Cyber Sentinel" ของอิสราเอลที่อาศัยปัญญาประดิษฐ์ในการคัดกรองภัยคุกคามล่วงหน้า และแจ้งเตือนการโจมตีไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนสูงในระดับ millisecond

2. การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานพลเรือน
การแยกระหว่างเป้าหมายทหารและพลเรือนจะเลือนลางลง เช่น การโจมตีโรงไฟฟ้า ระบบธนาคาร หรือเครือข่าย 5G ซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาประชาชนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในประเทศที่มีความเชื่อมโยงด้านดิจิทัลสูง

3. การก่อสงครามไซเบอร์แบบ “แฝงตัว”
ในอนาคต เราอาจเห็นการ “ฝังมัลแวร์แบบสงบนิ่ง” (Dormant Malware) ไว้ในระบบสำคัญของประเทศศัตรู ล่วงหน้าหลายปี เพื่อรอเวลาสั่งงานให้ทำลายระบบพร้อมกัน นี่คือกลยุทธ์ที่อันตรายและยากต่อการตรวจจับ


บทสรุป

สงครามระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลในปี 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงบทบาทของไซเบอร์ในสงครามยุคใหม่อย่างเต็มรูปแบบ จากการเป็นเพียงเครื่องมือเสริม กลายเป็นหัวใจของกลยุทธ์การรบ เทคโนโลยีไซเบอร์ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อผลแพ้ชนะในสนามรบ แต่ยังเปลี่ยนโฉมแนวคิดเรื่อง "อธิปไตยทางไซเบอร์" และความมั่นคงของชาติอย่างลึกซึ้ง อนาคตของสงครามอาจไม่ได้อยู่ในสนามรบอีกต่อไป แต่อยู่ในเงามืดของเครือข่ายดิจิทัลที่แฝงตัวเงียบงัน แต่ทรงอำนาจไม่แพ้อาวุธใด