หอดูดาวคามิโอกะ (Kamioka Observatory) เป็นหนึ่งในศูนย์วิจัยฟิสิกส์อนุภาคใต้ดินที่สำคัญที่สุดของโลก ตั้งอยู่ลึกลงไปใต้ภูเขาฮิดะในเมืองคามิโอกะ จังหวัดกิฟุ ประเทศญี่ปุ่น หอดูดาวแห่งนี้ไม่ได้มองดูท้องฟ้าเหมือนหอดูดาวทางดาราศาสตร์ทั่วไป แต่ทำหน้าที่ "มองเห็น" อนุภาคที่แทบจะตรวจจับไม่ได้ เช่น นิวตริโน (neutrino) และปฏิกิริยานิวเคลียร์หายาก ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดจากรังสีพื้นหลัง (background radiation) มากที่สุด
Kamioka Observatory เป็นสถานที่สำคัญที่นำไปสู่การค้นพบระดับรางวัลโนเบล และเป็นผู้นำในการสำรวจฟิสิกส์พื้นฐานของจักรวาล หอดูดาวแห่งนี้บริหารโดย Institute for Cosmic Ray Research (ICRR) แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว และได้พัฒนาเครื่องตรวจจับที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เช่น Super-Kamiokande และ KAGRA
ต้นกำเนิดของ Kamioka Observatory ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1983 เมื่อนักวิจัยของมหาวิทยาลัยโตเกียวเริ่มใช้อุโมงค์เหมืองแร่เก่าที่เมืองคามิโอกะเพื่อสร้างห้องทดลองฟิสิกส์ใต้ดิน จุดประสงค์คือการตรวจจับนิวตริโนจากดวงอาทิตย์และจากการสลายตัวของโปรตอน (proton decay) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทฤษฎีบางชุดของฟิสิกส์พลังงานสูงคาดการณ์ไว้
ในปี 1987 หอดูดาวคามิโอกะได้รับความสนใจจากทั่วโลกเมื่อสามารถตรวจจับนิวตริโนจากซูเปอร์โนวา 1987A ซึ่งเป็นการตรวจจับนิวตริโนจากการระเบิดของดาวฤกษ์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก นั่นแสดงให้เห็นว่าการตรวจจับนิวตริโนจากปรากฏการณ์ดาราศาสตร์เป็นไปได้จริง และเป็นก้าวสำคัญของฟิสิกส์ดาราศาสตร์
หนึ่งในอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดของหอดูดาวคือ Super-Kamiokande หรือที่เรียกกันว่า Super-K ซึ่งเป็นเครื่องตรวจจับนิวตริโนขนาดมหึมา สร้างขึ้นในถ้ำลึก 1,000 เมตรใต้ภูเขา และมีแทงค์น้ำบริสุทธิ์ขนาด 50,000 ตันล้อมรอบด้วยหลอดตรวจจับแสง (photomultiplier tubes) มากกว่า 11,000 หลอด
เมื่อมีนิวตริโนผ่านน้ำในแทงค์นี้และทำปฏิกิริยากับอะตอมในน้ำ จะเกิดแสงที่เรียกว่าแสงเชเรนคอฟ (Cherenkov radiation) ซึ่งสามารถถูกตรวจจับได้ Super-K จึงสามารถใช้ในการศึกษานิวตริโนจากดวงอาทิตย์ บรรยากาศโลก เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และจากเหตุการณ์ซูเปอร์โนวา
หนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Super-Kamiokande คือการค้นพบว่า "นิวตริโนมีมวล" ซึ่งขัดกับแบบจำลองมาตรฐานของฟิสิกส์ที่เคยเชื่อกันว่า นิวตริโนเป็นอนุภาคไร้มวล
การค้นพบนี้อาศัยปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "การสั่นของนิวตริโน" (neutrino oscillation) ซึ่งนิวตริโนเปลี่ยนสปีชีส์ (flavor) ขณะเดินทางผ่านอวกาศ การสั่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีมวลจริง ๆ
การค้นพบดังกล่าวนำไปสู่การมอบรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2015 ให้แก่ศาสตราจารย์ทาคาอากิ คาจิตะ (Takaaki Kajita) ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัยของ Super-K และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ Kamioka Observatory ต่อฟิสิกส์ระดับโลก
นอกจาก Super-Kamiokande แล้ว Kamioka Observatory ยังเป็นที่ตั้งของ KAGRA (Kamioka Gravitational Wave Detector) ซึ่งเป็นหอสังเกตการณ์คลื่นความโน้มถ่วงขนาดใหญ่ที่ติดตั้งในอุโมงค์ยาวกว่า 3 กิโลเมตรใต้ดิน
KAGRA เป็นเครื่องตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงแบบ interferometer ที่ใช้เลเซอร์และกระจกแขวนสุญญากาศเย็นจัด เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงระยะทางระดับเล็กกว่าขนาดของอะตอม ซึ่งเกิดจากคลื่นความโน้มถ่วงที่ผ่านโลก
การมี KAGRA ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่เข้าร่วมเครือข่ายการตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงทั่วโลก ร่วมกับ LIGO (สหรัฐ) และ Virgo (ยุโรป) ซึ่งช่วยให้การระบุตำแหน่งของแหล่งกำเนิดคลื่นในอวกาศแม่นยำขึ้น
Kamioka Observatory ตั้งอยู่ลึกประมาณ 1,000 เมตรใต้ดิน เพื่อหลีกเลี่ยงรังสีคอสมิก (cosmic ray background) ที่รบกวนการตรวจจับอนุภาคพลังงานต่ำ
โครงสร้างภายในถูกออกแบบอย่างซับซ้อนเพื่อให้สามารถบรรจุอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ขนาดมหึมา เช่นแทงค์น้ำของ Super-K หรือแขน interferometer ของ KAGRA
การใช้เทคโนโลยีน้ำบริสุทธิ์ และการควบคุมสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความสะอาด และแรงสั่นสะเทือน ถือเป็นหัวใจของการดำเนินงาน เนื่องจากการตรวจจับอนุภาคระดับควอนตัมต้องการสภาพแวดล้อมที่เสถียรและสะอาดที่สุด
นอกจากโครงการหลักแล้ว Kamioka Observatory ยังมีการดำเนินงานด้านการศึกษาการสลายตัวของโปรตอน ซึ่งอาจเป็นกุญแจในการเข้าใจว่าเหตุใดจักรวาลจึงประกอบด้วยสสารมากกว่าปฏิสสาร
นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาเครื่องตรวจจับรุ่นต่อไป เช่น Hyper-Kamiokande ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า Super-K หลายเท่า และมีเป้าหมายในการศึกษานิวตริโนอย่างละเอียดขึ้น รวมถึงการสำรวจความไม่สมมาตรระหว่างสสารกับปฏิสสาร (CP violation)
อีกทั้งยังมีความร่วมมือระหว่างประเทศกับโครงการฟิสิกส์อนุภาคอื่น ๆ เช่น DUNE (สหรัฐ), JUNO (จีน) และ IceCube (แอนตาร์กติกา) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและพัฒนาความเข้าใจด้านฟิสิกส์พลังงานสูงระดับสากล
Kamioka Observatory ไม่ได้เป็นเพียงศูนย์วิจัย แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาโทและเอกจากทั่วโลก หอดูดาวเปิดให้เข้าชมเป็นครั้งคราว และมีการจัดนิทรรศการแสดงเทคโนโลยีการตรวจจับอนุภาคแก่สาธารณชน
หอดูดาวนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คน โดยเฉพาะเยาวชนที่สนใจด้านวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์ และยังเป็นจุดที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของวิทยาศาสตร์พื้นฐานในการค้นหาความลับของจักรวาล
จากการตรวจจับนิวตริโนซูเปอร์โนวา จนถึงการค้นพบนิวตริโนมีมวล และล่าสุดการตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วง Kamioka Observatory ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางฟิสิกส์และจักรวาลวิทยาหลายครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจธรรมชาติของสสารมืด (dark matter), พลังงานมืด (dark energy), หรือแม้แต่การค้นหาสัญญาณจากเอกภพยุคแรกเริ่ม Kamioka Observatory ยังคงเป็นเสาหลักของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ที่เปลี่ยนคำถาม “จักรวาลคืออะไร” ให้กลายเป็นคำตอบที่จับต้องได้มากขึ้นในทุกวัน
Kamioka Observatory คือศูนย์กลางการวิจัยที่นำความลึกของภูเขามาใช้เป็นประตูสู่ความลึกของจักรวาล การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า นักวิจัยชั้นนำ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการแสวงหาความรู้ที่แท้จริงของมนุษยชาติ
ในอนาคต หอดูดาวคามิโอกะยังคงเป็นแนวหน้าในการศึกษาอนุภาคพื้นฐาน ปรากฏการณ์จักรวาล และคำตอบของคำถามที่ลึกซึ้งที่สุดในวิทยาศาสตร์ ด้วยเป้าหมายเดียวคือ "เข้าใจจักรวาลและตำแหน่งของเราในนั้น"