ถ้าพูดถึงหุ่นยนต์ในยุคนี้ หลายคนคงนึกถึงเจ้า “หมาเหล็ก Spot” หรือหุ่นยนต์ที่เต้นกันอย่างคล่องแคล่วจาก Boston Dynamics กันแน่นอน ส่วนถ้าพูดถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ ก็คงไม่มีใครไม่รู้จัก Toyota ที่ถือเป็นยักษ์ใหญ่ของโลก แต่เมื่อสองโลกนี้มาบรรจบกัน จะเกิดอะไรขึ้น? นี่คือเรื่องราวที่น่าจับตามองที่สุดในวงการเทคโนโลยีปัจจุบัน เมื่อ Toyota Research Institute (TRI) จับมือกับ Boston Dynamics เพื่อร่วมกันผลักดันนวัตกรรมหุ่นยนต์ให้ก้าวไปไกลกว่าเดิม
TRI หรือ Toyota Research Institute เป็นหน่วยงานวิจัยที่ Toyota ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเน้นงานวิจัยเชิงลึกในด้าน AI, หุ่นยนต์, ระบบอัตโนมัติ และการเคลื่อนที่แห่งอนาคต จุดเริ่มต้นจริงๆ ก็คือ Toyota ต้องการก้าวจากการเป็นแค่ผู้ผลิตรถยนต์ ไปสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ดูแลชีวิตผู้คนในมิติที่กว้างขึ้น
ลองคิดดูว่า Toyota เองก็รู้ดีว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติมันแข่งขันกันดุเดือดมากในตอนนี้ ดังนั้นการกระโดดไปจับงานวิจัยหุ่นยนต์ ก็เป็นเหมือนการวางหมากล่วงหน้าเพื่ออนาคต ที่ไม่ได้แข่งแค่เรื่องรถ แต่แข่งกันในโลกของ “การเคลื่อนที่” (Mobility) แบบครบวงจรเลยทีเดียว
พูดถึง Boston Dynamics ชื่อเสียงของบริษัทนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นตำนานในวงการหุ่นยนต์สมัยใหม่ พวกเขาเริ่มต้นจากการวิจัยในสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถเดิน วิ่ง กระโดด หรือแม้กระทั่งเต้นได้เหมือนมนุษย์และสัตว์จริงๆ
หุ่นยนต์ที่หลายคนรู้จักกันดี ได้แก่:
จากที่เคยเป็นเพียงงานวิจัยในห้องทดลอง วันนี้ Boston Dynamics กลายเป็นสัญลักษณ์ของหุ่นยนต์เชิงพาณิชย์ที่โลกทั้งโลกจับตามอง
การที่ TRI ของ Toyota จับมือกับ Boston Dynamics มีความหมายมากกว่าแค่การร่วมพัฒนาหุ่นยนต์ธรรมดาๆ เพราะมันคือการผสมผสานจุดแข็งของสองโลกเข้าด้วยกัน
ด้าน Toyota – มีความรู้ความเข้าใจในระบบการผลิตขนาดใหญ่ ความแม่นยำ และการออกแบบให้ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน รวมถึงการมองการณ์ไกลในเรื่อง “Mobility for All” หรือการเคลื่อนที่เพื่อทุกคน
ด้าน Boston Dynamics – มีความเก่งกาจในเชิงวิศวกรรมหุ่นยนต์ที่เลียนแบบการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตได้อย่างเป็นธรรมชาติ และมีภาพลักษณ์ในฐานะผู้บุกเบิกที่ทำให้คนทั่วโลกตื่นเต้นกับหุ่นยนต์
เมื่อรวมกันแล้ว เราอาจได้เห็นหุ่นยนต์ที่ไม่เพียงแค่ “เดินได้” แต่ยังถูกออกแบบมาให้ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นในบ้าน โรงงาน โรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งงานบริการต่างๆ
ลองนึกภาพตามดูว่า หุ่นยนต์จาก Boston Dynamics ที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่ถูกเสริมด้วยเทคโนโลยีและมาตรฐานการผลิตจาก Toyota จะถูกนำมาใช้งานอะไรได้บ้าง:
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริง เพราะ Toyota เองก็เคยโชว์หุ่นยนต์ T-HR3 ที่ควบคุมจากระยะไกลได้มาแล้ว และเมื่อได้จับมือกับ Boston Dynamics ความเป็นไปได้ก็ดูยิ่งใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า
สิ่งที่น่าจับตาคือการร่วมมือครั้งนี้ไม่ได้กระทบแค่โลกหุ่นยนต์ แต่ยังโยงไปถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกด้วย
1. ยานยนต์ – Toyota อาจนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ไปใช้ในรถยนต์ไร้คนขับ หรือระบบช่วยผู้โดยสาร
2. โลจิสติกส์ – หุ่นยนต์จาก Boston Dynamics อย่าง Stretch อาจทำงานร่วมกับระบบจัดการของ Toyota Logistics ได้อย่างลงตัว
3. การดูแลสุขภาพ – ญี่ปุ่นและหลายประเทศต้องการหุ่นยนต์เพื่อช่วยในโรงพยาบาลและบ้านพักผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นตลาดมหาศาล
4. ภาพลักษณ์องค์กร – Toyota จะไม่ได้ถูกมองว่าเป็นแค่ผู้ผลิตรถยนต์อีกต่อไป แต่เป็นผู้เล่นสำคัญในโลกของหุ่นยนต์และ AI
แม้ภาพอนาคตจะดูสวยหรู แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรค การทำให้หุ่นยนต์สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ต้องผ่านทั้งการทดสอบ ความปลอดภัย และที่สำคัญคือ “ต้นทุนการผลิต”
ทุกวันนี้หุ่นยนต์จาก Boston Dynamics ราคายังสูงมาก เช่น Spot ที่มีราคาหลายล้านบาท ถ้า Toyota สามารถใช้ความเชี่ยวชาญด้านการผลิตมาลดต้นทุนได้จริง นั่นแหละคือจุดเปลี่ยนสำคัญ
อีกเรื่องคือ “การยอมรับจากสังคม” คนยังมีความกังวลเรื่องหุ่นยนต์มาแย่งงาน ความปลอดภัย หรือแม้กระทั่งความกลัวแบบไซไฟที่หุ่นยนต์จะครองโลก ซึ่ง Toyota และ Boston Dynamics ต้องหาทางสื่อสารและออกแบบให้หุ่นยนต์ดูเป็น “ผู้ช่วย” มากกว่า “คู่แข่ง”
การที่ Toyota Research Institute จับมือกับ Boston Dynamics จึงเป็นเหมือนการประกาศว่า โลกหุ่นยนต์ไม่ได้เป็นแค่เรื่องในหนังอีกต่อไป แต่มันกำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันจริงๆ
เรากำลังยืนอยู่ในจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota ลงสนามเต็มตัวในโลกหุ่นยนต์ และถ้าการร่วมมือครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้ เราอาจเห็นหุ่นยนต์ Toyota-Boston Dynamics เดินอยู่ข้างๆ เราในบ้าน บนถนน หรือแม้กระทั่งในที่ทำงานโดยที่เราคุ้นชินไปเอง
นี่ไม่ใช่แค่การพัฒนาหุ่นยนต์ แต่คือการเปลี่ยนโฉมหน้าของ “การใช้ชีวิต” ในศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริง