Digimania    29 July 2025

ถอดความลับ: อะไรคือเทคนิคของกองทัพไทยในการค้นหาตำแหน่งและสังหารผู้บังคับบัญชาระดับนายพลของกัมพูชา

ThailandCambodiaWar

           ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกล การทำสงครามก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย จากที่เคยอาศัยจำนวนทหาร ยานพาหนะ และอาวุธหนัก กลายเป็นการอาศัยข้อมูล ความแม่นยำ และการโจมตีที่เฉียบคมต่อเป้าหมายเฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลอบสังหารผู้บัญชาการศัตรูระดับสูง ซึ่งสามารถเปลี่ยนสมดุลของการรบในเวลาไม่กี่วินาที บทความนี้จะพาผู้อ่านไปเจาะลึกถึงเทคนิคและวิธีการที่กองทัพไทยอาจใช้ในการระบุตำแหน่งของนายพลระดับสูงของกัมพูชา และดำเนินการโจมตีอย่างแม่นยำ


1. สงครามยุคใหม่กับการลอบสังหารแบบเฉพาะเป้าหมาย

           สงครามในยุคศตวรรษที่ 21 เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ด้วยเทคโนโลยีดาวเทียม โดรนไร้คนขับ ปัญญาประดิษฐ์ และระบบการสื่อสารแบบเข้ารหัส ทำให้การลอบสังหารบุคคลสำคัญกลายเป็นภารกิจที่สามารถทำได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเขตแดนที่เต็มไปด้วยภูมิประเทศซับซ้อนอย่างป่าเขาหรือชายแดนเขมร-ไทย

           ในกรณีสมมติที่มีเหตุการณ์ที่กองทัพไทยสามารถระบุตำแหน่งผู้บัญชาการระดับสูงของกัมพูชาและโจมตีได้อย่างแม่นยำ คำถามคือ “กองทัพไทยใช้เครื่องมืออะไร และมีเทคนิคอย่างไร?”


2. การระบุตำแหน่งเป้าหมาย: การผสานข้อมูลจากหลายแหล่ง

           เทคนิคหลักในการค้นหาตำแหน่งเป้าหมายของบุคคลระดับสูงนั้น ต้องอาศัยการบูรณาการข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง ได้แก่:

  •       ข่าวกรองมนุษย์ (HUMINT) – ข้อมูลจากสายลับหรือเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ศัตรูที่แฝงตัวเพื่อส่งข่าวแบบเรียลไทม์
  •       ข่าวกรองสัญญาณ (SIGINT) – การดักฟังคลื่นวิทยุ โทรศัพท์ หรือเครือข่ายการสื่อสาร เพื่อระบุตำแหน่งเป้าหมาย
  •       ข่าวกรองภาพถ่าย (IMINT) – การวิเคราะห์ภาพถ่ายจากดาวเทียมหรือโดรนเพื่อหาความเคลื่อนไหวของเป้าหมาย

           ทั้ง 3 ส่วนนี้ หากใช้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถสร้าง “แผนภาพเคลื่อนไหว” ของเป้าหมายได้แบบใกล้เคียงกับความเป็นจริง เช่น การเดินทางของนายพล ช่วงเวลาพัก การเข้าร่วมประชุม และที่พักประจำ


3. ดาวเทียมสอดแนม: ดวงตาบนท้องฟ้า

           ในโลกยุคใหม่ การใช้ดาวเทียมเพื่อสอดแนมเป็นวิธีพื้นฐานในการเฝ้าตรวจจับเป้าหมาย โดยเฉพาะดาวเทียมที่ติดตั้งกล้องถ่ายภาพความละเอียดสูง (high-resolution optical imagery) และเซ็นเซอร์อินฟราเรดที่สามารถจับความร้อนจากร่างกายมนุษย์หรือเครื่องยนต์ได้แม้ในยามค่ำคืน

           ประเทศไทยมีความร่วมมือกับชาติพันธมิตร เช่น สหรัฐฯ จีน หรืออิสราเอล ในการเข้าถึงดาวเทียมระดับทหารที่มีความละเอียดสูง หรืออาจใช้บริการจากดาวเทียมเชิงพาณิชย์ เช่นของบริษัท Maxar, Planet Labs หรือ Airbus Defence

เทคนิคหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ การจับภาพเป็นช่วงเวลา (interval imaging) ที่ถ่ายภาพพื้นที่เป้าหมายทุก 15 นาที – 1 ชั่วโมง แล้วนำภาพเหล่านี้มาเปรียบเทียบเพื่อดูความเปลี่ยนแปลง เช่น รถยนต์ที่เข้า-ออก, ทหารที่เคลื่อนไหว, หรือแม้แต่จุดส่องสว่างในช่วงค่ำ


4. โดรนลาดตระเวน: การเฝ้าระวังในระดับต่ำ

           เมื่อระบุพื้นที่เป้าหมายเบื้องต้นได้จากดาวเทียมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการส่งโดรนเข้าสำรวจเพื่อยืนยันข้อมูล โดยเฉพาะโดรนลาดตระเวนขนาดเล็กที่บินได้อย่างเงียบ และมีการพรางตัวจากเรดาร์

โดรนสมัยใหม่ เช่น Heron, RQ-11 Raven, หรือ Bayraktar TB2 มีความสามารถทั้งในการสอดแนมและการโจมตีเป้าหมายได้ในตัวเดียวกัน ในกรณีของกองทัพไทย โดรนที่ใช้ในภารกิจเชิงลับมักเป็นรุ่นที่ไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ และอาจมีการปรับแต่งเพื่อเพิ่มระยะทาง บินนาน และติดกล้องความร้อน

           การบินโดรนสอดแนมนั้นสามารถใช้เพื่อจับตำแหน่งของนายพลกัมพูชาได้โดยตรง โดยอาศัยการวิเคราะห์ “ลักษณะพฤติกรรม” เช่น รถกันกระสุนขนาดใหญ่, การรักษาความปลอดภัยแน่นหนา, หรือกองกำลังคุ้มกันส่วนตัว


5. การติดตามด้วย AI และปัญญาประดิษฐ์

           AI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว กองทัพไทยอาจใช้ระบบ AI วิเคราะห์จากวิดีโอโดรนหรือภาพดาวเทียมแบบเรียลไทม์ โดยระบบจะเรียนรู้รูปร่าง ลักษณะ ท่าทาง หรือแม้กระทั่งสีเครื่องแบบของเป้าหมายเพื่อทำการติดตาม

           นอกจากนี้ ยังสามารถนำ AI มาวิเคราะห์พฤติกรรมของสัญญาณดิจิทัล เช่น การเคลื่อนไหวของมือถือ การล็อกอินระบบ หรือกิจกรรมบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งสามารถใช้ยืนยันตัวตนของเป้าหมายแบบแม่นยำ


6. ปฏิบัติการโจมตีแบบแม่นยำ (Precision Strike)

           เมื่อทราบตำแหน่งของเป้าหมายแน่นอนแล้ว กองทัพอาจเลือกใช้วิธีการโจมตีที่แม่นยำโดยไม่ให้เกิดผลกระทบกับพลเรือนหรือโครงสร้างรอบข้าง โดยมีวิธีดังนี้:

  •            โดรนติดอาวุธ – ปล่อยระเบิดนำวิถีหรือขีปนาวุธขนาดเล็กลงเป้าหมาย
  •            จรวดนำวิถีจากฐานยิง – ใช้ระบบ GPS และเลเซอร์กำหนดเป้าหมาย
  •            เครื่องบินขับไล่หรือ UAV แบบโจมตี – ปล่อยระเบิดลงอย่างรวดเร็วจากระยะไกล

           อาวุธนำวิถีแบบใหม่ เช่น AGM-114 Hellfire หรือ Spike NLOS อาจถูกใช้ในการลอบสังหารเป้าหมาย โดยสามารถระบุเป้าหมายได้แม้หลบซ่อนอยู่ภายในอาคาร


7. ความลับของการไม่เปิดเผย

           สิ่งสำคัญของปฏิบัติการเหล่านี้คือ “การไม่เปิดเผยตัวตนของผู้กระทำ” ซึ่งต้องอาศัยเทคนิคหลบเลี่ยงเรดาร์ การใช้อุปกรณ์สื่อสารเข้ารหัส และการปล่อยสัญญาณรบกวนเพื่อทำให้เป้าหมายไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นผู้โจมตี

           การลงมือแบบ "ไม่ลงชื่อ" (plausible deniability) เป็นแนวทางที่ใช้กันมากในสงครามสมัยใหม่ เพื่อป้องกันการตอบโต้ทางการทูตหรือข้อกล่าวหาบนเวทีโลก


8. ข้อสงสัยเชิงจริยธรรมและผลกระทบ

           แม้การลอบสังหารจะเป็นเทคนิคทางทหารที่มีมานานหลายศตวรรษ แต่ในยุคปัจจุบัน ประเด็นด้านจริยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศก็ถูกยกขึ้นมาถกเถียงอย่างจริงจัง โดยเฉพาะกรณีที่เป้าหมายอยู่ในเขตประเทศอื่น และไม่ได้อยู่ในสถานะการสู้รบอย่างเป็นทางการ

           การสังหารนายพลกัมพูชาอาจกระทบความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เกิดการตอบโต้จากฝั่งตรงข้าม และลุกลามเป็นสงครามได้ หากไม่ได้รับการจัดการอย่างระมัดระวัง


สรุป: เมื่อสงครามคือเกมของข้อมูล

           จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าการค้นหาและโจมตีเป้าหมายระดับสูงอย่างแม่นยำต้องอาศัยการบูรณาการของเทคโนโลยีหลายแขนง ทั้งดาวเทียม โดรน AI ข้อมูลข่าวกรอง และการโจมตีด้วยอาวุธนำวิถี

           กองทัพไทย หากสามารถดำเนินการลักษณะนี้ได้จริง ย่อมแสดงถึงขีดความสามารถขั้นสูงในด้านสงครามยุคใหม่ และสะท้อนถึงยุทธวิธีที่เปลี่ยนจาก "สงครามจำนวน" สู่ "สงครามข้อมูล" ซึ่งผู้ชนะไม่จำเป็นต้องมีทหารมากที่สุด แต่คือผู้ที่รู้จักเป้าหมายดีที่สุด และโจมตีได้แม่นยำที่สุด